ในปัจจุบัน เราพบว่าปัญหาการเกิดฝุ่น PM2.5 เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่กำลังเป็นกระแสในหลายประเทศทั่วโลก และประเทศไทยก็ไม่ได้หลีกหนีปัญหานี้ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ในที่นี้เราจะพูดถึงจังหวัดใดในประเทศไทยที่เป็นจุดร้อนของฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีทั้งจังหวัดในภาคเหนือและภาคกลางของประเทศตั้งแต่เริ่มต้นของฤดูหนาวจนถึงปลายฤดูหนาว
ในภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในจังหวัดที่เป็นจุดร้อนของฝุ่น PM2.5 เป็นอันดับต้นๆ และเป็นจุดประสงค์หลักของการรวมตัวกันของคนที่ต้องการลดปัญหาการเกิดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ทุกปี เมื่อตั้งแต่เริ่มต้นปี 2020 เป็นต้นมา จังหวัดเชียงใหม่มีระดับค่าฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นประจำ โดยมีสาเหตุจากการเผาไหม้ของป่าไม้ การใช้พลังงานจากการเผาถ่าน การเผาถ่านในโรงงาน และการใช้รถยนต์ในพื้นที่
นอกจากจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ภาคเหนือยังมีจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นจุดร้อนของฝุ่น PM2.5 เช่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดน่าน โดยเฉพาะในช่วงช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ทุกปี เป็นช่วงที่มีค่าฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เป็นประจำ
เข้าสู่ภาคกลางของประเทศ จังหวัดสมุทรปราการ และ กรุงเทพมหานคร ก็เป็นจังหวัดที่มีปัญหาการเกิดฝุ่น PM2.5 มากขึ้นในทุกฤดูกาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการจราจรทางถนน ผลิตภัณฑ์จากโรงงาน การเผาถ่าน เชื้อเพลิงและไฟฟ้าพลังงาน และอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก อีกทั้งยังมีการเผาไหม้พื้นที่และการสูบบุหรี่มาร่วมทำให้ค่าความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้นมีค่าสูงขึ้น
นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังมีอาการอย่างอื่นที่ส่งผลให้สามารถเป็นจุดร้อนของฝุ่น PM2.5 ได้ เช่น สภาพอากาศไม่เอื้ออาทร และ ลมที่ไม่แรงพอที่จะขับเคลื่อนฝุ่นออกจากพื้นที่ เป็นต้น
เพื่อลดปัญหาการเกิดฝุ่น PM2.5 ในประเทศ ควรมีการปรับปรุงคุณภาพของเชื้อเพลิง การดูแลรักษาพื้นที่ป่าไม้ และการติดตั้งระบบการกรองละอองของยานพาหนะ เพื่อลดมลพิษในอากาศ นอกจากนั้น ยังควรมีการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยให้ประเทศเราก้าวหน้าไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เราต้องการโลกที่เป็นสุขภาพและความอยู่รอด โดยไม่มีฝุ่น PM2.5 ที่ก่อให้เกิดโรคซีดเข้าตัวและเสื่อมสมรรถภาพของจักรวาล
